TTT

Bitcoin และ Block Chain เทคโนโลยีการเงินรูปแบบใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก กับความท้าทายที่ต้องผเชิญ Disclaimer : บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาในการชี้แนะการลงทุนแต่อย่างใด คุณสมบัติของ Medium of exchange ที่ดี มีอีกหนึ่งอย่าง... Posted by Nopanun Laochunhanun on  Sunday, May 28, 2017 ต่อ review จากบทความที่แล้ว https://goo.gl/2v8Kxy... Posted by Nopanun Laochunhanun on  Monday, May 29, 2017

ความเห็นของผมต่อบิทคอยน์ ได้ข้อสรุปคร่าวๆดังนี้ -------------------------------------------------------------------- . ใ... Posted by Nopanun Laochunhanun on  Sunday, May 28, 2017

ไม่ว่าเราจะเข้าไปเล่นในตลาดไหน มันก็จะมีกฎกติกาการเล่นของตลาดนั้นๆเสมอ มันไม่ใช่แค่ดูกราฟเป็นก็จบนะ ก่อนเล่นเกมๆไหนก็ระวังการไม่รู้กฎนั้นๆ ความซวยมันจะมาตอนที่เราประมาทใช้ risk สูงๆ แล้วโดนทีเดียวทรุด แต่ถึงรู้แล้ว วางแผนเล่นใหม่ ไม่ผิดพลาดในจุดเดิม แต่ถ้าเจอเรื่องไม่รู้ใหม่ๆอีก แล้วพอร์ตไปอีก ก็ถามตัวเองว่ารับได้หรือเปล่า คิดว่าคุมความเสี่ยงได้แล้ว แต่ก็อาจเจอเรื่องที่นอกเหนือความคาดหมาย มันไม่ใช่แค่เรื่องเก็งผิดทางแล้วคัท เกิด Drawdown มันไม่ใช่จุดที่คุณกำหนด RRR แล้วจะรอด ผมเคย Day trade ชนะ 90% ในสัปดาห์ และ Profit Return +650% %ที่เหลือเท่าทุน หรือขาดทุนนิดๆหน่อยๆ ไม่เกิน 5% แต่... มันก็มีเรื่องเพียงแค่ % เดียวเท่านั้นที่ผมเจอ แล้วแผนการณ์ที่วางไว้ทั้งหมดก็พัง ซึ่งเขาเรียกปรากฎการณ์แบบนี้ว่า ปรากฎการณ์ “หงษ์ดำ” (Black Swan) แล้วเรามีแผนรับมือกับ 1% นั้นอย่างไร? ผมบอกได้แค่ว่า 1% นี้จะรับได้จากการที่ไม่โอเว่อเทรดเท่านั้น ไม่ว่าจังหวะจะสวยยังไง แม่นแค่ไหนก็ตาม หรืออีกวิธีก็คือ เรียนรู้กฎกติกาทุกอย่างในตลาดของสินค้าตัวนั้นให้ครบถ้วน รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของมันให้หมด **** จะเป

วันนี้ได้ข้อคิดจากการเขียนโปรแกรม การแก้โจทย์แก้ปัญหาบางอย่างเราไม่สามารถแก้มันจากประสบการณ์และไหวพริบเชาว์ปัญญาได้อย่างเดียว เพราะสิ่งที่เราเรียนรู้ด้วยทักษะประสบการณ์มานั้นสามารถแก้ไขปัญหาได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น แก้ๆเท่าไหร่ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ หาสาเหตุไม่พบ แต่เมื่อเราหยิบตำราคู่มือมาไล่อ่าน ก็เจอโน้ตที่เขียนบอกไว้ว่ามันมีข้อจำกัดอะไร และทำให้ได้คำตอบมาแก้โจทย์ได้ สิ่งนี้สะท้อนอะไรได้บ้าง มันสะท้อนว่าอะไรที่เราไม่ใช่ผู้สร้างผู้ให้กำเนิดกฎเกณฑ์ต่างๆ เราจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้วยเพียงประสบการณ์อย่างเดียว แต่เราต้องหาตำราที่อธิบายกฎเกณฑ์ต่างๆมาอ่านด้วย ไม่ยังงั้นเราคงจะต้องงมโข่งกันอีกนานเลยทีเดียว - Tannarin

การคาดการณ์มีประโยชน์ในการวางแผนที่จะทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อเป็นการรับโอกาส หรือหลีกเลี่ยงความเสี่ยง โดยบทความนี้จะขอกล่าวถึงการใช้การคาดการณ์ในการเทรด วิวหรือมุมมองของเราที่มีต่อตลาด การที่เรามีวิวกับตลาดยังไงในช่วงนี้ มันสำคัญในการกำหนดแนวทางเทรด เพราะการที่จะเทรดได้ตังค์มันต้องเทรดให้ตรงกับตลาด ประเด็นมันคือแผนการณ์ต่างหาก ไม่ใช่การคาดการณ์มันผิด ไม่ควรเหมารวมว่า view เป็นการ predict ทำนายหรือฟันธง แต่ view คือเราคาดว่ามันน่าจะเป็นอย่างเงี่ย ผิดหรือถูกก็ได้ การคาดการณ์ กับความคาดหวังมันคนละเรื่อง การคาดการณ์เกิดจากมุมมองที่เรามีต่อตลาดในช่วงเวลานี้จากข้อเท็จจริงที่เรามี และตีความอย่างรอบด้าน เราต้องมีวิวเป็นที่ยึดเหนี่ยวในการวางแผนกลยุทธ์การเทรดเป็นสมมติฐานที่เรากำหนดขึ้นมา การใช้เทคนิคตามความเหมาะสมแล้วก็ไม่ได้มีไว้ใช้เพื่อการ predict ฟันธง แต่เทคนิคมีไว้ระบุความเป็นไปได้ของความน่าจะเป็นในอนาคตโดยอาศัยสถิติในอดีต หรือเราจะใช้เทคนิคในการกำหนดเงื่อนไขให้กับการคอนเฟิร์มในมุมมองของเราที่มีต่อตลาด เทคนิคกำหนดเงื่อนไข มุมมองเป็นการคอนเฟิร์ม   มุมมองมาจากการคาด การคาดมีหลายร

วันนี้ขอหยิบยกประเด็น การซูมกราฟดูช่วงเวลาที่แคบลง เพราะเห็นว่ามีคนติดใจในประเด็นนี้ จากโพสต์ของพี่เซียว จับอิดนึ้งครับ จากโพสต์นี้จะเห็นว่า ประเด็น 3 เดือน 6 เดือน 1ปี ที่พี่เซียวพูดถึงไม่ใช่ Multi TF นะครับ แต่เป็นการหยิบ period ที่เราสนใจขึ้นมาดูใน TF เดิมนี่แหละ ถ้าให้ยกตัวอย่างในเรื่องอื่น มันก็เหมือนกับการซูมดูรูปภาพนั่นแหละครับ ไม่ซูมก็ไม่เห็นรายละเอียด ความกว้าง ความยาวแบบชัดๆ รายละเอียดของลายเสื้อ รอยสิว รอยสัก แต่มันก็คือสิ่งเดียวกันกับรูปเต็มๆ ถ้าไม่ใส่ใจมาก มองผ่านๆก็ไม่เป็นไร เห็นว่าเป็นรูปอะไรสวยไม่สวย แต่ไม่เห็นรายละเอียด แต่ถ้าเป็นกราฟ เวลาเราจะเทรดเราก็ต้องระบุราคาที่ละเอียดขึ้นมาหน่อยครับ ไม่ว่าจะราคาที่จะซื้อ ราคาที่จะขาย ราคาที่จะ Stop loss อีกทั้งยังเห็นรายละเอียดแท่งเทียนชัดเจน ไม่ใช่เล็กจนเห็นเป็น bar ราคาปิด/เปิด อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ S&P500 Large Cap Index - 1925-Present และขอเสริมเพิ่มเติมคือ การตัดบางช่วง บางตอนออกมาดูนี้ เหมาะไว้ใช้ในการพิจารณาเทรดบนสภาวะที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงเวลานี้ โดยตัดข้อมูลอดีตออกเพื่อตัด bias บางอย่างออกไป เช่น ตลาด

Noise trade ผมขอตั้งชื่อนี้ล่ะกันนะ เป็นสไตล์การเทรดอย่างหนึ่งที่ผมใช้ เป็นวิธีการเทรดที่เราจะเข้าและออกในอีกสองสามแท่งเทียนถัดไป ถ้าไวที่สุดก็แท่งเทียนเดียว แล้วแต่โอกาส ความผันผวน ซึ่งเป็นวิธีการเทรดที่มีความเสี่ยงถ้าเราจับอารมณ์ตลาดไม่ถูกและไม่คุม riskไว้ดีพอ แต่เสี่ยงน้อยถ้าเรา focus มีสติ และเข้าใจแผนการณ์ มองแนวโน้ม จับอารมณ์ขณะนั้นออก กลยุทธ์นี้เราต้องใส่แกนกลางของเทรนด์เข้าไป โดยสามารถใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะเวลาสั้นๆทำหน้าที่นี้ ถ้าคุณเห็นแกนมีทิศทางไม่ราบเป็นแนวนอนและมีการเบี่ยงเบนออกจากแนวราบ คุณก็สามารถหาจังหวะเข้าในเวลาที่่แท่งเทียนวิ่งสวนกับแนวโน้มของแกนกลางได้ โดย Noise นี้ควรเกิดขึ้นหลังจากราคาปิดสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เพื่อเป็นการคอนเฟิร์มว่าโมเมนตั้มนี้มีความแข็งแรงพอและมีโอกาสที่จะกลายเป็นเทรนด์ ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องมืออย่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่นที่ในการวัดความแข็งแกร่งของเทรนด์ได้ ด้วยการดูการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นกับกับระยะยาว Noise สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เป็นสภาวะไม่ปกติที่เกิดจากการกระทำที่ไม่เข้าท่าของผู้เล่นใน

วันนี้จะมาอธิบาย เรื่องของการได้ผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ จากเคสตัวอย่างที่นึกได้ตอนนี้ในแบบฉบับความเข้าใจของผม อย่างแรกเรามาทำความรู้จักสมการผลตอบแทนก่อน ที่เป็นรากฐานแนวคิด portfolio "All weather" ของ Ray Dalio กันก่อน ซึ่งก็คือ Return = Cash + Beta + Alpha Cash ก็คือ เงินสด Beta คือ Position ที่ให้"ผลตอบแทนตามตลาด" ไม่ว่าจะขึ้น(กำไร) หรือลง(ขาดทุน) ซึ่งก็จะเป็นการ Buy and hold รับปันผล(กรณีถือหุ้น) ส่วน Alpha คือ "ผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาด" เช่น กำไรก็ได้มากกว่าตลาด หรือขาดทุนก็ขาดทุนน้อยกว่าตลาด (เมื่อเทียบกับ Benchmark(IE. SET index)) เกิดจากการทำกลยุทธ์ โดยการเลือกใช้เครื่องมือทางการเงินหรือควบคุมการซื้อขาย เพิ่ม/ลด ขนาดการถือครองหุ้นตามดุลยพินิจ ซึ่งผลตอบแทนที่ได้จากรูปแบบนี้จะมีลัษณะแบบ Zero sum game คือเป็นการเก็งกำไร เมื่อเราได้ ก็จะมีคนอื่นๆที่เสีย ซึ่งสมการนี้จะต่อยอดไปสู่การกำหนดโครงสร้างของพอร์ตโฟลิโออีกที โดยมีการแบ่งแยกพอร์ตเป็นสัดส่วนไว้สำหรับสร้างผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆเอาไว้แต่แรก เราลองมาดูเคสต่างๆเมื่อได้รับผลตอบแทนกัน